ศ.ดร. วิสิฐ จะวะสิต
ความจริง
น้ำนมสัตว์ที่นิยมบริโภคและมีการผลิตในเชิงพาณิชย์อย่างแพร่หลายในประเทศไทย ได้แก่ น้ำนมโค ซึ่งมีการส่งเสริมให้เลี้ยงอย่างจริงจัง ในราวปี พ.ศ. ๒๕๓๕ จากการที่มีโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ในช่วงเวลาที่ผ่านมาอุตสาหกรรมนมในประเทศมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีการพัฒนาตั้งแต่กระบวนการคัดเลือกและผสมพันธุ์ การเลี้ยงดู ตลอดจนการผลิต อันทำให้ปัญหาคุณภาพและความปลอดภัยที่เคยเกิดขึ้นในอดีตหมดไปและได้นำอุตสาหกรรมนมในประเทศไทยส่วนหนึ่งสามารถผลิตน้ำนมที่มีคุณภาพและความปลอดภัยในระดับสากลหรือที่เรียกว่า “นมพรีเมี่ยม” ตามมาตรฐานระดับสูงที่ตั้งขึ้นโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข เพื่อท้าทายการพัฒนาแบบก้าวกระโดดของอุตสาหกรรมนมไทย ทำให้ปัจจุบันผลิตภัณฑ์นมของประเทศไทยสามารถส่งออกเพื่อแข่งขันในตลาดโลกได้โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียน
ในทางโภชนาการ น้ำนมโคจัดเป็นแหล่งของสารอาหารสำคัญที่ยากจะหาอาหารอื่นมาเทียบเทียมได้ นั่นคือ โปรตีนและธาตุแคลเซียม
โปรตีน ที่พบในน้ำนมมีปริมาณร้อยละ ๓.๓ – ๓.๕ และเป็นโปรตีนที่มีองค์ประกอบของกรดอะมิโนจำเป็นชนิดที่ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ได้ดีในสัดส่วนและปริมาณที่เหมาะสม โปรตีนนมจึงเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพดีที่สุดในโลกและใช้เป็นมาตรฐานเปรียบเทียบกับโปรตีนชนิดอื่น กล่าวคือโปรตีนนมมีคุณภาพเต็มร้อยนั่นเอง หากดื่มนมเพียง ๒๐๐ ซีซี เด็กนักเรียนก็จะได้รับโปรตีนคุณภาพดีเยี่ยมที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายต่อวันถึง ร้อยละ ๒๐-๔๐ แล้ว ส่วนในผู้ใหญ่จะได้ถึงประมาณร้อยละ ๑๔ ของความต้องการต่อวัน
แคลเซียม ที่พบในน้ำนมมีปริมาณประมาณ ๑๒๕ มก. ต่อ ๑๐๐ ซีซี จัดเป็นแคลเซียมคุณภาพดีเยี่ยม ที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย เนื่องจากน้ำนมมีสัดส่วนของแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสที่เหมาะสม หากดื่มน้ำนมเพียง ๒๐๐ ซีซี เด็กเล็กจะได้แคลเซียมที่เพียงพอถึงร้อยละ ๓๕ ของความต้องการต่อวัน และเด็กโตและผู้ใหญ่จะเพียงพอถึงร้อยละ ๒๕ ของความต้องการต่อวัน
หากเราต้องการแสวงหาอาหารธรรมชาติที่สะดวกบริโภค ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยโปรตีนคุณภาพเยี่ยมและแคลเซียมที่ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย ยังไม่มีอาหารธรรมชาติชนิดใดในโลกที่สามารถเปรียบเทียบกับน้ำนมได้เลย
สารอาหารอื่นๆที่สำคัญในน้ำนม
น้ำตาลในน้ำนมโค มีประมาณร้อยละ ๕ จัดเป็นสารอาหารที่มีปริมาณสูงที่สุด ชนิดของน้ำตาลในน้ำนมคือแล็กโทส ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่คล้ายซูโครส (น้ำตาลทราย) เมื่อร่างกายย่อยแล้วจะได้กลูโคสและกาแล็กโทส ที่ร่างกายนำไปใช้เป็นพลังงานได้ ทำให้สดชื่นด้วย เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำตาลที่เราใช้กันจนคุ้นเคย ได้แก่ ซูโครสและกลูโคส น้ำตาลแล็กโทสมีความหวานน้อยกว่ามาก น้ำนมตามธรรมชาติจึงมีเพียงรสหวานอ่อนๆเท่านั้น ซึ่งเด็กเล็กที่บริโภคน้ำนมธรรมชาติ ย่อมไม่ติดนิสัยบริโภครสหวานตั้งแต่เล็กและไม่ก่อปัญหาสุขภาพเมื่อเติบใหญ่ ปริมาณน้ำตาลในน้ำนมต่ำกว่าในเครื่องดื่มปกติที่จำหน่ายในท้องตลาดประมาณครึ่งหนึ่ง ทำให้โอกาสที่ก่อให้เกิดผลเสียงต่อสุขภาพต่ำกว่ามาก การดื่มน้ำนม ๒๐๐ ซีซี ให้น้ำตาลเพียงร้อยละ ๒๐ ของปริมาณที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไม่ให้บริโภคเกิน (ไม่ควรเกิน ๕๐ กรัม ต่อวัน)
ไขมันในน้ำนม มีประมาณร้อยละ ๔ เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญที่ได้จากการดื่มน้ำนม เนื่องจากน้ำนมเป็นผลิตภัณฑ์จากสัตว์ จึงมักพบกรดไขมันอิ่มตัวและโคเลสเตอรอล อย่างไรก็ตาม กรดไขมันอิ่มตัวในน้ำนมมีประมาณร้อยละ ๒ และโคเลสเตอรอลมีเพียง ๑๐ มิลลิกรัมต่อ ๑๐๐ ซีซี ซึ่งการดื่มนม ๒๐๐ ซีซี ให้กรดไขมันอิ่มตัวเพียงร้อยละ ๒๐ และให้โคเลสเตอรอล เพียงร้อยละ ๗ ของปริมาณที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไม่ให้บริโภคเกิน (ไม่ควรเกิน ๒๐ กรัมและ ๓๐๐ มิลลิกรัม ต่อวัน ตามลำดับ) น้ำนมจึงไม่ใช่แหล่งของโคเลสเตอรอลที่น่ากลัวตามที่หลายๆคนเข้าใจกัน
วิตามิน ที่พบในน้ำนมโคตามธรรมชาติ ได้แก่ วิตามิน เอ บี๑๒ และไรโบเฟลวิน ซึ่งจะคงอยู่มากกว่า หากน้ำนมไม่ได้ผ่านกระบวนการแปรรูปที่ใช้ความร้อนสูงเกินไป ส่วนวิตามินเอละลายอยู่ในส่วนที่เป็นไขมัน ซึ่งจะมีปริมาณลดลงในประเภทไขมันต่ำหรือปราศจากไขมัน
ดื่มน้ำนมเพิ่มขึ้นรับประกันว่าได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อวันเพิ่มขึ้น
คนไทยดื่มน้ำนมโดยเฉลี่ยเพียงวันละ ๓๐ ซีซี (๑๘ ลิตรต่อคน ต่อปี) ซึ่งหมายถึงคนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้ดื่มน้ำนมเลยและอีกส่วนใหญ่ไม่ได้ดื่มน้ำนมทุกวัน ซึ่งแตกต่างจากคนสิงคโปร์ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านเราที่ดื่มน้ำนมถึง ๖๒ ลิตรต่อคนต่อปี หากเพียงคนไทยทุกคนดื่มน้ำนมเพียงวันละ ๒๐๐ ซีซีทุกวัน ก็จะสามารถรับประกันว่าเราจะได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์และหาได้ยากจากอาหารแหล่งอื่นในระดับหนึ่ง ซึ่งหากเพิ่มการบริโภคน้ำนมได้ถึงวันละ ๒ แก้ว (๔๐๐ ซีซี) ก็จะทำให้ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์หลายชนิดในปริมาณที่เพิ่มขึ้นและใกล้เคียงกับความต้องการต่อวันมากขึ้น